วันเสาร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2556

วิธีการเลือกซื้อรถมือสอง และ จุดต่างๆ ที่ควรรู้เบื้องต้น



     * คันนี้มือสอง ก็คงจะสาหัส สำหรับคนซื้อ ละครับ...

ในการซื้อรถมือสองนั้น ถ้าเรามีความละเอียดรอบคอบและใจเย็นเพียงพอในการเลือกซื้อ ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนก่อนการตัดสินใจซื้อ ก็จะทำให้เรามีความมั่นใจมากขึ้นว่าซื้อแล้วได้ใช้งานคุ้มค่า เพียงแต่เราดูแลบำรุงรักษารถให้ดี ก็ใช้ไปได้อีกนาน เป็นธรรมดาสำหรับรถดี ๆ จะไม่มีเรื่องจุกจิกกวนใจเรา หรือทำให้เราเสียเงินบ่อยๆ ทีนี้เรามาดูว่ารถมือสอง ที่เราจะซื้อมีวิธีการเลือกคร่าวๆ ไว้พอเอาตัวรอดได้ พอแนะนำเป็นแนวทางได้บ้าง
(ไม่ต้องกลัวว่ารถคันที่ดูอยู่จะโดนใครแย่งซื้อตัดหน้า...มีให้เลือกเพียบครับ ลองหาดูในเน็ทก็ได้)


 วิธีการเลือกซื้อรถมือสอง และตรวจเช็คจุดต่าง ๆ  โดยจะแยกเป็นหัวข้อง่ายๆ ดังนี้


1. ดูตัวถัง body
รถสวยหรือไม่ดูภายนอกรอบคันก็อาจพอบอกได้ แต่จะดูให้รู้ว่าเคยชนมาบ้างหรือเปล่า ก็ต้อง
- เปิดฝากระโปรงหน้ามาดูคานหน้า คานรถทุกคันจะมีรู กลมบ้าง เหลี่ยมบางแล้วแต่ ถ้ารูเบี้ยว ไม่คมก็แสดงว่ามีชนมาบ้าง
- ป้ายทะเบียนรถยับมีรอยดัด ก็ให้เดาไว้ก่อนเลยว่าเคยชนมา แผ่น plate ที่แปะติดคานมา มีรอยยับหรือดัดมาก็เช่นกัน

- สันด้านข้างตะเข็บความนูนเสมอกันหรือไม่ รอยอ๊าค จากโรงงานกับอู่เคาะพ่นสีก็ต่างจะกัน
- สำหรับด้านหลัง ก็เปิดฝากระโปรงดูเช่นกัน ไฟท้ายทั้ง 2 ดวงเสมอเบ้าหรือไม่ รอยแยกต่อชิ้นเว้นช่องไฟเท่ากันเปล่ามีเบี้ยวมีเกยกันหรือไม่ คานหลังก็ใช้ลักษณะการสังเกตเหมือนคานหน้าเพียงแต่ต้องลื้อพรมปูท้ายรถออกเพื่อให้เห็นพื้น

- พื้นรถด้านหลังโดยมากจะเป็นรอนๆ ก็สังเกตดูว่าเท่ากันหรือเปล่า รถบางคันโดนชนหลังมาช่างเคาะอาจทำดีมากจนดูแทบไม่ออก ต้องเช็ค มีบางคันเศษกระจกอาจหลงเหลืออยู่ให้เห็น
- ส่วนด้านข้าง ก็ดูเทียบสี จากโรงงานสีเดิม กับอู่สี สีจะเพี้ยนนิดหน่อยแต่ก็พอเห็น ใช้วิธีเคาะด้วยมือของเรานี่แหละ เคาะรอบคันเลย รถที่ทำสีมาแล้วเสียงจะทึบๆ ชิ้นที่สีเดิมจะมีเสียงโปร่งๆ ฟังดีดีจะรู้ถึงความแตกต่าง

- รถที่เคยหงายตะแคงมา ก็ดูหลังคารถเคาะๆ ดู สังเกตขอบคิ้วกระจกหน้าหลังว่าเหมือนกันหรือเปล่า มีรอยแตกของสีโป๊วหรือไม่ หลังคาไม่น่ามีสีสดสวยกว่าประตูข้าง เพราะเป็นส่วนที่รับแดดมากที่สุด








2. เครื่อง + ช่วงล่าง + เกียร์
- เครื่อง ถ้าเครื่องมีปัญหา หรือ หลวม จะเสียงดัง ไม่นิ่งรอบสูงบ้างต่ำบ้าง ไม่น่าเชื่อถือ เวลาเครื่องร้อนเรา ก็ดูก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องออกมา จะมีควันพุ่งออกมา หรือ น้ำมันเครื่องจะกระเซ็นเป็นละอองออกมาเอามือไปอังๆ ดูก็ได้

- เกียร์ ชุดส่งกำลัง คลัชต์ ถ้าเข้าเกียร์ ออกตัวแล้วๆ กระตุกๆ เข้าเกียร์ยาก นั่นหมายถึงมีปัญหา ถ้าวิ่งๆ อยู่มีเสียงหอนแหวกอากาศมาเข้ามา เวลาเข้าเกียร์ว่างรถจอดนิ่งๆ ไม่ดังก็แสดงว่าเกียร์มีปัญหา เกียร์ auto ก่อนเข้าเกียร์เหยียบเบรคคาไว้ เข้าเกียร์ตำแหน่ง D ไม่กระตุกกระชากก็พอใช้ได้ เข้าตำแหน่งเดิม N แล้วไป R ก็ไม่มีอาการอะไรก็แสดงว่าน่าจะผ่านแล้ว ต้องลองวิ่งดูว่าเกียร์ทำงานทุกเกียร์เปล่า ออกตัวก็เช่นกัน ออกตัวดีมั้ย ถ้าต้องรอสักพักถึงเคลื่อนตัวได้แสดงว่าเกียร์อาการแย่

- ช่วงล่าง เวลาขับไปเจอฝาท่อ เจอถนนคอนกรีตที่กร่อน มีหลุม มีบ่อ ถ้าลุยเข้าไป เดี๋ยวเสียงกรุกกรักจะปรากฏถ้าไม่แน่น หรือ อาจสะท้านมาถึงพวงมาลัยเลยก็มี แต่อย่าขับเร็วมากนักอาจเสี่ยงต่ออันตราย ก็ได้ ต่อไปเป็นเบรค และ สภาพยาง อาจซื้อแล้วเข้าร้านเปลี่ยนของใหม่เลย เอาแบบปลอดภัยไว้ก่อน ก็ชัวร์ดี




3. ภายในห้องโดยสาร
- กลิ่น ถ้าเปิดรถแล้วได้กลิ่นอับๆ ชื้นๆ แสดงว่าน้ำเข้ารถ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ง่ายต่อการดูมากเลย คือเอายางปูพื้นออก ดูว่าพื้นพรมมีรอยชื้นของน้ำหรือเปล่า บางคันพื้นอาจผุจนทะลุ ต้องดูหมดทั้ง 4 จุด

- ดูความเรียบร้อย คอนโซล แตกหรือไม่ ช่องแอร์สมบูรณ์หรือเปล่า ช่องแอร์เป็นอะไรที่ซ่อมยากนะ เพราะอาจไม่มีอะไหล่ด้วย
- แอร์ เปิดแอร์ เบอร์ 1-4 ดูเลยว่ามันไล่ระดับความแรงหรือเปล่า แรงลมจะบอกได้ว่าตันหรือเปล่า สมัยนี้ล้างแอร์ก็ราคาแพงด้วย เปิดทิ้งไว้แล้วออกไปเดินดูรอบๆ รถนานๆ หน่อย ไม่ใช่ แค่แป๊บเดียว แล้วเดินเข้าไปในรถก็จะรู้ว่าแอร์เย็นฉ่ำ หรือ ไม่เย็นฉ่ำ ลองฟังดูว่ามีเสียงอะไรดังผิดปรกติหรือเปล่า แอร์ตัดตามปกติหรือไม่
การดูรถถ้าจะดูให้ละเอียดครบถ้วน อาจต้องใช้เวลามากสักหน่อยแต่ก็คุ้มค่า รถยนต์เป็นอะไรที่ราคาสูงนะคะ ถ้าดูครบถ้วนตามที่แนะนำ ก็น่าจะได้รถที่พอใช้ได้ในระดับหนึ่งแล้ว การซื้อรถมือสอง ต้องเตรียมเงินอีกจำนวนหนึ่ง เพื่อถ่ายเปลี่ยนของเหลวในรถออกให้หมด เพื่อเริ่มทำการจดบันทึกใหม่ ทั้งเลขกิโลเมตรและวันที่ว่าเราทำอะไรไปบ้างกับรถคันนี้เมื่อไหร่ เท่าไหร่ book service ที่เราทำขึ้นเองจะมีประโยชน์มากๆ เวลาขายต่อ เอาให้คนที่จะซื้อดู ทำให้เครดิตดีอีกเยอะเลย ยิ่งเราละเอียดมากเขาก็เชื่อถือมาก





หลายๆคนคงมองดูอะไรต่อมิอะไรรอบๆตัวในภาวะเศรษฐกิจ เช่นนี้ ก็ต้องบอกกับตัวเองว่าจะถ้าจะซื้ออะไรก็ต้องคิดหน้าคิดหลัง ให้ละเอียดซักนิด คิดสักหน่อย แล้วค่อยตัดสินใจ จะได้ไม่พลาดไงล่ะครับท่าน ถ้างั้นเราก็...

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------




 

มาดูเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยการเลือกซื้อรถมือสองกันต่อ ดีกว่าครับ..

ลองบอกกับตัวเองก่อนว่าเป้าหมายมีอะไรจะได้ไม่สับสน เช่น รถประเภทอะไร กระบะหรือเก๋ง? ยี่ห้อเป้าหมาย ยี่ห้ออะไร? งบประมาณ? อายุรถที่ต้องการ? สีจำเป็นหรือไม่? เมื่อได้แล้วก็ลองมาเริ่มกันเลยครับ





สถาพภายนอกรถ…. ลองยืนหันหน้าเข้าหาด้านหน้าของรถยนต์เป้าหมายตรงๆ โดยยืนห่างประมาณ 5 เมตรเป็นอย่างน้อย แล้งสังเกตรูปทรงของรถ ดูว่าสมส่วน ไม่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง ไม่บิดเบี้ยวเหมือนคนยืนเท้าเอวข้างเดียวนั่นเหละ สีโดยทั่วไปเสมอกันหรือไม่ (อันนี้ขอบอกให้ดูรถในที่สว่างเท่านั้น) จากนั้นก็เดินเข้าใกล้รถอีกนิดก้มลงดูว่าพื้นสีมีความสม่ำเสมอ ? (ภาษารถเขาเรียกว่าดูเม็ดสีครับ) เป็นคลื่นๆหรือเปล่า? ถ้าดูแล้วสีไม่เท่ากันตรงจุดไหน ก็ตั้งข้อสงสัยไว้ก่อน เดี๋ยวมีขั้นตอนต่อครับ จากนั้นให้สังเกตแนวร่องระหว่างฝากระโปรงหน้า, เส้นขอบประตู หน้า-หลัง ซ้าย- ขวา ฝาท้ายรถ มีเส้นแนวเรียบ เสมอกันหรือไม่? หลังจากใช้สายตาแล้วก็ลงมือปฏิบัติกันบ้างล่ะ ลงมือเคาะโดยพยายามใช้ปลายเล็บจิกไปรอบๆ แล้วสังเกตเสียงและความรู้สึกหนาบางรอบตัวรถ รวมถึงหลังคารถ ถ้ามีจุดไหนที่เสียงดังทึบๆ มีโอกาสทำสีมาครับ เสียงโปร่งๆก็รอดไปขั้นหนึ่งครับ แล้ว …..



ห้องเครื่อง
เปิดฝาห้องเครื่อง แล้วสังเกตร่องน้ำทั้งสองข้าง คานหน้าเครื่อง ดูว่าความเรียบของสียังดีอยู่ไม่? โดยใช้มือลูบๆดู หากเห็นว่าหยาบและร่องไม่เสมอ ก็ตั้งข้อสงสัยว่าทำสีมาแล้วยังเก็บไม่เรียบร้อย คานหน้าให้ดูรูว่าบิดเบี้ยว ถ้ามองดูรู้สึกว่าหนาๆ ภาษารถก็อาจจะบอกว่าโดนมาครับ จากนั้นก็ดูซอกประตู, ประตูรถ โดยใช้วิธีเดียวกับที่ได้กล่าวมาครับ เสริมด้วยลองพลิกขอบยางดูด้วย ว่ามีการเก็บสีมาหรือ? สำหรับฝาท้ายรถก็ดูร่องน้ำคล้ายๆฝากระโปรงหน้า แต่ต้องลองขยับหรือเปิดพรมขึ้นมาอีกหน่อยเพื่อดูสีและความเรียบของพื้นยังเดิมๆอยู่หรือไม่? สีมีการพ่นมาใหม่หรือเปล่าๆ? แล้วให้ช่วยสังเกตดูช่องที่ใส่ประกอบไฟท้ายมีการทำมาหรือไม่? เบี้ยวหรือไม่? สนิมมีหรือไม่?





ระบบเครื่องยนต์
 ให้ลองสตาร์ทเครื่องโดยไม่ต้องเร่งคันเร่งมากนัก หากเครื่องติดง่ายก็ถือว่าผ่านขั้นที่ 1 จากนั้นลองเร่งคันเร่งเล็กน้อยแล้วปล่อย ฟังและดูว่าเครื่องเดินได้ราบเรียบหรือเปล่า? ถ้าเสียงเรียบก็ผ่าน พอเครื่องยนต์อุ่นขึ้นลองดูแรงดันเครื่องคร่าวๆ โดยชักสายวัดน้ำมันเครื่อง ดูว่ามีควันขาวๆลอยออกมาด้วยหรือไม่? หรือมีละอองน้ำมันกระเด็นออกมาด้วยหรือไม่? ถ้ามีก็ ไม่โอเคนะครับ เพราะเครื่องอาจหลวมแล้วนะครับท่าน หรือไม่ก็อาจจะมีน้ำเข้ามาผสมในห้องเครื่องก็อาจเป็นได้ครับ แล้วสังเกตควันที่ปลายท่ออีกนิด ถ้าควันขาวอมเทาๆมีกลิ่นเหม็นเหมือนน้ำมันไหม้แล้วมีละอองน้ำมันออกมาด้วย ก็ขอแนะนำว่าอย่าไปสนใจรถคันนี้จะดีกว่านะครับ ท่าทางจะไม่ค่อยดีซะแล้ว




ภายในห้องโดยสาร
จากนั้นมาดูภายในห้องโดยสารกันดีกว่า ตรวจดูอุปกรณ์บนหน้าปัด การใช้งานอยู่ในสภาพดีอยู่หรือเปล่า? ระบบไฟมีครบใช้ได้หรือไม่? แล้วลองขยับเกียร์ เพื่อสังเกตว่าหลวมโยกกลวงๆหรือเปล่า? เมื่อเครื่องยนต์สตาร์ท ก็ลองเข้าเกียร์ ถ้าเป็นเกียร์โอโตเมติก ให้สังเกตดูการกระตุก และจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ยังดีอยู่ หรือไม่? หรือเกียร์กระตุกมาก หรือเกียร์ไม่เปลี่ยน ก็แสดงว่ารถต้องการหมอแล้วครับ



ระบบช่วงล่าง
ให้ลองวิ่งบนพื้นที่ไม้ราบเรียบแล้วฟังเสียงใต้ท้องรถว่ามีดังเหมือนมีอะไรหลวมๆเวลาที่ตกหลุมหรือพื้นไม่เรียบ ถ้ามีก็ให้สังเกตว่ามาจากจุดไหนเพื่อจะได้เช็คสาเหตุและประมาณค่าซ่อมได้ครับ จากนั้นก็ลองวิ่งตรงๆและลองปล่อยพวงมาลัยรถ เป็นช่วงๆ เพื่อดูว่ารถวิ่งตรงหรือเอียงไปฝั่งใดฝั่งหนึ่งหรือไม่? ถ้ามีอาการเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง แสดงว่าศูนย์รถไม่ตรงหรืออุปกรณ์ช่วงล่าง มีการสึกหรอเกิดขึ้น

*** ส่วนเลขไมล์นั้นไม่ต้องไปให้ความสนใจมาก เพราะจริง ๆ สามารถตั้งปรับกันได้ ลองทดสอบตามเบื้องต้นนี้หากไม่พบปัญหาแสดงว่า รถอยู่ในกลุ่มที่น่าซื้อครับ





สำคัญต้องใจเย็น ๆ นะครับ อย่าเห็นแก่รถสวยเพียงภายนอก เพราะเดี๋ยวนี้ช่างเก็บงานแบบหลอกตาได้เนียนมั๊ก ๆๆๆ...  ขอให้โชคดี+ได้รถดี ๆๆ กันนะครับ